วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฤดูท่องเที่ยว...


           กำแพงเมืองจีนช่วงที่มีคนนิยมมาเที่ยวชมมากที่สุดคือ ปาต๋าหลิ่ง” (Badaling) อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่ง 67 กิโลเมตร ได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปีค.ศ.1957 วิวทิวทัศน์ขุนเขากำแพงแถบนี้สวยงาม แนวของกำแพงเหยียดตัวไปตามแนวสันเขา สูงๆต่ำๆ แลดูคล้ายระลอกคลื่น หรือมังกรยักษ์เลื้อยไปตามสันเขา มีความสูง 7 เมตร กว้าง 5 เมตร สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ใช้วัสดุทั้งดินอัดแข็ง หิน และอิฐ มีหอไฟสัญญาณเป็นระยะๆตลอดรายทาง กำแพงช่วงที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่ยาว 2 กิโลเมตร สามารถปีนป่ายเที่ยวได้อย่างสบายๆ แต่พ้นจากนี้ไปก็จะมีสภาพหักพังจนไม่สามารถเดินได้

         ปลายกำแพงด้านเหนือมีกระเช้าไฟฟ้านำนักท่องเที่ยวขึ้น-ลงจากบริเวณลานจอดรถ ที่เชิงกำแพงข้างล่างมีทั้งร้านค้า ร้านอาหาร พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่ โรงภาพยนตร์ รถทัวร์ แม้กระทั่งร้านฟาสต์ฟู้ด (ไก่ทอดเคเอฟซี) ก็ยังมี



              แต่ในปัจจุบันทัวร์มักจะแวะชมช่วงที่อยู่ใกล้ที่สุด ผู้คนไม่หนาแน่นมากนักคือ  “จีหย่งกวน”(Juyongguan) อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่ง 50 กิโลเมตร เป็นซุ้มประตูด่านปราการที่อยู่ใกล้ปักกิ่งมากที่สุด เพิ่งเปิดให้คนมาเที่ยวชมเมื่อปี ค.ศ.1998 เป็นด่านสุดท้ายที่ปกป้องรักษาความปลอดภัยของปักกิ่ง สร้างในปี ค.ศ.1345 มีการจำหลักเรื่องราวทางพุทธศาสนา มีจารึกภาษาจีน ทิเบต สันสกฤต และภาษาชนเผ่าทางเหนือประดับไว้ด้วย มีวัดและสวนอยู่กระจายในบริเวณใกล้เคียง สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง หลายแห่งได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ กำแพงในช่วงนี้ทอดยาวไปตามแนวเทือกเขาไท่หังซาน โดยมีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร









เหตุผลที่ได้รับคัดเลือกเป็นมรดกโลก


              กำแพง เมืองจีนได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2530 ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 11 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้
-  เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด
-  เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวนและภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
-  เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
- เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
- มีความคิดและความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์ 









ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน


1. มองเห็นได้จากดวงจันทร์?     เราไม่สามารถมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้จากระยะไกลมากเช่นจากดวงจันทร์ตามที่มีเสียงเล่าเสียงลือกัน ..คำยืนยันนี้เกิดขึ้นจากปากของนักบินอวกาศของประเทศจีนเอง ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดที่สร้างโดยฝีมือมนุษย์ที่จะสามารถมองเห็นจากดวงจันทร์ได้ ..ยกเว้นจากความสูงระดับ Low Earth Orbit เราอาจจะมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้แต่ต้องมีทัศนวิสัยดีและรู้จักจุดที่จะสังเกตุมองเห็นที่เราไม่อาจจะมองเห็นกำแพงเมืองจีนได้ในระยะไกลมาก ก็เพราะสีของกำแพงเมืองจีนจะกลืนไปกับสีของพื้นผิวของโลกนั่นเอง

 2. กำแพงยาวตลอด?     ความจริงแล้วกำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นในหลายยุคหลายรัชสมัย กินเวลานับพันปี โดยบางช่วงจะเป็นการเชื่อมต่อกำแพงเข้าด้วยกัน แต่ไม่ได้ต่อเนื่องเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหมด ...โดยว่ากันว่า ด่านปาต๋าหลิ่งใกล้กับกรุงปักกิ่งเป็นที่ขึ้นชื่อว่ายังคงมีสภาพสมบูรณ์ และเป็นจุดเที่ยวชมกำแพงเมืองจีนที่ดีที่สุดในปัจจุบัน
3. สุสานของผู้ก่อสร้าง?
     มีการบันทึกไว้ไว่า นักโทษจากสงครามและทาสกว่า 1 ล้านคนถูกบังคับมาเป็นแรงงานเพื่อก่อสร้างกำแพงเมืองจีน ซึ่งจำนวนมากได้เสียชีวิตลงเนื่องจากความเหน็ดเหนื่อย ความหิวโหย และสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ โดยศพของผู้เสียชีวิตก็จะถูกฝังอยู่ข้างๆกำแพงนั่นเอง  นานนับศตวรรษแล้วที่กำแพงเมืองจีนได้ชื่อว่าเป็นสุสานที่มีความยาวที่สุดในโลก และกล่าวกันว่าทุกๆ หนึ่งฟุตของกำแพงก็คือหนึ่งชีวิตของผู้ก่อสร้างกำแพงนั่นเอง
4. ยาวเท่าไหร่แน่?
     ความยาวของกำแพงเมืองจีน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครทราบความยาวที่แท้จริง เพราะกำแพงไม่ได้ยาวเป็นผืนเดียวกันตลอด บางตอนแยกห่างกันมาก อีกทั้งปัจจุบันซึ่งนับเวลาจากวันเริ่มก่อสร้าง นับเป็นเวลาพันปีแล้ว บางส่วนจึงได้พังทลายลงเป็นผืนดิน ทำให้การวัดความยาวที่แน่นอนกระทำได้ยาก
     ในภาษาจีนจะเรียกกำแพงเมืองจีนว่า "กำแพงยาวหมื่นลี้" (หนึ่งลี้มีความยาวประมาณ 1/3 ไมล์) โดยประมาณคร่าวๆกำแพงเมืองจีนจะมีความยาวประมาณ 4 พันไมล์ หรือ 6,350 กิโลเมตร ทอดผ่านทะเลทราย ทุ่งหญ้า ป่าละเมาะ และภูเขา ความสูงของกำแพงเมืองจีนประมาณ 7 เมตร และกว้างประมาณ 5 เมตร แต่ไม่ได้สูงเท่ากันและกว้างเท่ากันตลอด
5. ป้องกันการรุกรานได้จริงหรือ?
     การเข้าครองอำนาจของมองโกลและต่อมาของแมนจูเรียต่อเมืองจีน เกิดขึ้นจากความอ่อนแอของราชวงศ์จีนที่ปกครองจีนในสมัยนั้น มากกว่าไม่ใช่เกิดจากการที่กำแพงเมืองจีนด้อยประสิทธิภาพ  พวกเขาใช้โอกาสในขณะที่เกิดกบฎภายใน เข้ายึดครองประเทศจีน โดยมีการต่อต้านจากภายใน ที่น้อยมาก
6. เป็นเพียงกำแพงยาวๆ?
    กำแพงเมืองจีนไม่ได้เป็นแค่กำแพงยาวๆ ..ทุกระยะทางประมาณ 300 ถึง 500 เมตร จะมีป้อมหรือด่าน เพื่อใช้เป็นจุดเตรียมสะเบียง เตรียมอาวุธ จุดสับเปลี่ยนเวรยาม และเป็นที่นอนหลับพักผ่อน   ป้อมหรือด่าน ซึ่งมีจำนวนมากกว่า1หมื่นแห่งนี้ ยังมีแท่นที่ใช้กำบังอาวุธ มีรูใหญ่บนกำแพงเพื่อใช้สำหรับการสังเกตการณ์และยิงธนู และมีที่สำหรับปักธงและส่งสัญญานต่างๆ
7. เป็นเส้นทางขนส่ง?
    ในอดีต กำแพงเมืองจีนถูกใช้เป็นเส้นทางคมนาคม จริง ..เพราะช่วยให้การคมนาคมขนส่งบนเส้นทางทุรกันดาร เช่นตามเทือกเขา เป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย แต่ก็ทำลายกำแพงเมืองจีนให้ชำรุดทรุดโทรมลงเร็ว
8. สร้างด้วยอะไร?
    ในระยะแรก ก่อนที่จะมีการใช้อิฐ กำแพงเมืองจีนถูกสร้างขึ้นด้วยหิน ดิน ไม้ และอื่นๆ เช่น มีการแพ็คดินไว้ระหว่างไม้แผ่นใหญ่ และมัดไว้ด้วยเสื่อทอ
     ในระยะต่อมาเมื่อมีการใช้อิฐ ก็จะใช้อิฐไว้รอบนอก ส่วนภายในจะใช้ดินและหินอัดแน่น ..ในบางจุด กำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยหินแกรนิต หรือด้วยดินเผา ..ทางตะวันตกของจีน กำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยโคลน ส่วนบริเวณใกล้กับกรุงปักกิ่งคือเมืองหลวง บางส่วนของกำแพงถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อน
      กำแพงเมืองจีนที่เราเห็นกันในทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ถูกสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง โดยใช้วัตถุดิบประเภทหินทั้งด้านข้างกำแพง และด้านบน


 9. สภาพในขณะนี้?
       ผลการสำรวจของนักอนุรักษ์เมื่อปีพ.ศ.2547 บอกว่ากำแพงเมืองจีนที่เคยยาวประมาณ 6,350 กิโลเมตรในอดีต ขณะนี้เหลืออยู่เพียง 1/3 เท่านั้น และกำลังจะสั้นลงๆ เรื่อยๆ
     เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะกำแพงเมืองจีนไม่ได้ถูกทะนุบำรุงรักษาและอนุรักษ์อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในดินแดนไกลๆ ชาวไร่ชาวนาซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับกำแพงเมืองจีน จะไม่สนใจประกาศของรัฐบาลที่กำหนดให้กำแพงเมืองจีนเป็นสมบัติของชาติที่จะต้องช่วยกันรักษา ..เขาเหล่านั้นกลับใช้อิฐใช้หินของกำแพงเมืองจีน เพื่อวัตถุประสงค์อื่นๆโดยไม่เจตนา
 10. กระโดดข้ามกำแพงเมืองจีน?
    ในปีพ.ศ.2548 นายแดนนี่ เวย์ จากรัฐคาลิฟอร์เนีย อายุ31ปี เขาทำสถิติเป็นบุคคลคนแรกที่กระโดดข้ามกำแพงเมืองจีนโดยใช้สเก๊ตบอร์ด ..ท่ามกลางฝูงชนชาวจีนที่ไปยืนแหงนคอบนกำแพงเมืองจีนเพื่อดูเขาทำลายสถิติ เขาพุ่งสเก๊ตบอร์ดด้วยความเร็ว 50 ไมล์ต่อชั่วโมง จึงสามารถกระโดดข้ามกำแพงเมืองจีนได้ในการกระโดดครั้งที่ 5
    
ก่อนหน้านี้ ในปีพ.ศ.2546 นายหวัง เจี่ยเซียง จากเมืองชานซี ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนเคยหวังจะทำลายสถิตินี้ โดยใช้จักรยานเป็นเครื่องมือกระโดดข้ามมาแล้ว แต่เขาทำไม่สำเร็จ เขาตกลงมาเสียชีวิต
...นี่เป็นเรื่องจริงที่อาจจะยังไม่มีใครรู้ เกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน...



 
 
 


 







ตำนานเมิ่งเจียงหนี่กับกำแพงเมืองจีน


           2000 ปีที่ผ่านมานี้ ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับนางเมิ่งเจียงร้องให้จนทำให้กำแพงเมืองจีนพังทลาย ลงนั้นแพร่หลายในทั่วประเทศจีน จนกลายเป็นที่รู้กันในทั่วไป
           เล่ากันว่า ให้สมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ชายชื่อว่านสี่เหลียง หญิงชื่อ เมิ่งเจียง แต่งงานได้ 3 วัน สามีถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงเมืองจีน
          กาลล่วงผ่านไปเนิ่นนานก็หามีข่าวคราวจากสามีไม่ เมิ่งเจียงเฝ้าคอยจนในที่สุดก็ไม่อาจทนต่อไป จึงเตรียมเสื้อกันหนาวเดินทางจากบ้านเกิดตรงไปยังกำแพงเมืองจีน เพื่อจะเอาเสื้อกันหนาวส่งให้สามี   นางเมิ่งเจียงเดินทางฝ่าพายุหิมะลมแรง ช่างยากเย็นเข็ญใจนัก แม้กระนั้นนางเมิ่งเจียงก็หาย่อท้อไม่ เพราะคิดอยู่ว่า ถ้าฝ่าทุกข์หนักอันนี้ไปได้ ก็คงจะได้เจอกันกับสามี
         แล้วนางเมิ่งเจียงก็มาถึง ณ กำแพงเมืองจีน นางเฝ้าเสาะหาสามีอยู่เป็นนานก็หาพบไม่ เธอจึงไปไต่ถามก็ได้ความว่า สามีถูกกำแพงที่พังลงมาทับตายเสียแล้ว
         ครั้นเมิ่งเจียงหนี่แจ้งว่า สามีตัวตายนั้น ก็มีความเศร้าโศกพลุ่งขึ้นเป็นอันมาก จึงล้มตัวลงร้องไห้คร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนานัก ต่อถึง 7 วัน7คืนไม่หยุดเลย จนทำให้กำแพงที่สร้างเสร็จแล้วพังทลายลงแถบหนึ่ง และซากฟ่านสี่เหลียงก็ปรากฏต่อสายตานางเมิ่งเจียง พอเห็นศพสามีออกมาให้เห็นแก่ตาดังนั้น นางเมิ่งเจียงก็กระโดดทะเลตาย ชื่อเมิ่งเจียงก็ปรากฏสืบมาให้ชนรุ่นหลังได้ซาบซึ้งกับความรักอันมั่นคงของ นางไม่ลืมเลือน จนได้เป็นถึงหนึ่งในสี่นิยายรักอมตะของจีนมาจนถึงเดี๋ยวนี้




...แม้ว่าชื่อของเธอ จะไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ ..จะมีก็แต่ในเพียงตำนาน แต่ชาวจีนทั้งหลายก็เชื่อกันว่าเรื่องของเธอเป็นเรื่องจริง เธออยู่ในยุคสมัยของราชวงศ์ถัง และมีอนุสาวรีย์ของเธอ อยู่ ณ วัดแห่งหนึ่งใกล้ๆกับด่านซันไห่กวน